ทาคิน เป็นสัตว์ประจำชาติของภูฏานชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงในพื้นที่หนาวเย็นมีหน้าและเขาคล้ายแพะ แต่ว่าไม่มีเครา ตัวใหญ่ประมาณวัวเมื่อโตเต็มที่มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัมทาคินจะกินใบไผ่หน่อไม้เป็นอาหารหลัก

ภูมิประเทศ ประเทศภูฏานตั้งอยู่ในแถบขุนเขาหิมาลัยระหว่างอินเดียกับจีน (ติดกับทิเบต) เป็นประเทศที่มีเทือกเขาเป็นจำนวนมากจนได้รับการขนานนามว่า "สวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย"เดิมเคยผูกพันอยู่กับทิเบต แต่ แยกออกมาเป็นรัฐอิสระตั้งแต่ ค.ศ.1630 ภูฏานเป็นประเทศเล็กๆ มีพื้นที่47,000ตารางกิโลเมตตรมีสถานที่ท่องเที่ยวเหมาะกับคนที่ชอบธรรมชาติที่งดงามและวัฒนธรรมดั้งเดิมประวัติศาสตร์ ที่บันทึกได้ของภูฏานเริ่มขึ้นปลายพุทธศตวรรษที่ 13 หรือประมาณ 1,300 ปีที่แล้วเมื่อพระอรหันต์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์องค์หนึ่งชื่อ ครูรินโปเช หรือชื่อบาลีว่า ปทุมสมภพ (Padmasambhava) ขี่เสือบินมาจากทิเบต ร่อนลงบนชะง่อนเขาสูงในหุบเขาพาโรซึ่งชะง่อนเขานี้ต่อมาเรียกว่า “รังเสือ” หรือ ตักซังในภาษาท้องถิ่น เมื่อปี พ.ศ. 1290 และเริ่มเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน (หรือที่คนไทยคุ้นหูในชื่อตันตระ)ให้กับชาวภูฏานซึ่งสมัยก่อนนับถือเพียงภูตผีและเทวดา ในความเชื่อท้องถิ่นครูรินโปเชประสบความสำเร็จในการเผยแพร่พระธรรมในภูฏาน จนทำให้ชาวภูฏานขนานนามว่าเป็น “พระพุทธเจ้าองค์ที่สอง”หลังจากนั้นมีพระทิเบตอีกหลายรูปที่ธุดงค์มาสานต่อเจตนารมณ์ทำให้ศาสนาพุทธนิกายนี้ได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนทั้งประเทศภายในพุทธ ศตวรรษที่ 15 ซึ่งนอกจากสอนศาสนาแล้วพระจากทิเบตเหล่านี้ยังเป็นผู้นำทางการเมืองและการทหารอีกด้วยเพราะทิเบตยกทัพมาตีภูฏานอยู่เนืองๆ และในภูฏานเองก็เกิดการต่อสู้ระหว่างนิกายย่อยต่างๆในพุทธวัชรยาน เพื่อช่วงชิงอิทธิพลระหว่างกัน (วัชรยานจากทิเบตแตกสาขาออกเป็นนิกายย่อยสี่โรงเรียนคือ คายุ นิงมา ศักยา และ เกลัก ในภูฏานคายุและนิงมามีอิทธิพลสูงสุดพระทะไลลามะองค์ปัจจุบันเป็นพระในนิกายเกลัก)

ภูมิอากาศ เนื่องจากภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็กลักษณะภูมิอากาศจึงไม่แตกต่างกันมากนักโดยมากเป็นภูมิอากาศแบบกึ่งร้อนมีฝนชุกยกเว้นตอนเหนือซึ่งเป็นภูเขาสูง ทำให้มีอากศแบบหนาวเทือกเขาอากาศ กลางวัน 25 - 15 องศาเซลเซียส กลางคืน 10 - 5องศาเซลเซียส มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม ช่วงนี้อากาศจะอบอุ่นและอาจมีฝนประปราย ฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม ช่วงนี้จะมีพายุฝนตามเทือกเขาจะเขียวชอุ่ม ฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ในช่วงเดือนกันยายน - พฤศจิกายน ช่วงนี้อากาศจะเย็น ท้องฟ้าแจ่มใส เหมาะแก่การเดินเขา ฤดูหนาว จะอยู่ในช่วงเดือนธันวาคม - กุมภาพันธ์ อากาศจัดเย็นจัดตอนกลางคืนและรุ่งเช้า และจะมีหมอกหนาบางครั้งโดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคม อาจมีหิมะตกบ้าง

ศาสนา ประชาชนชาวภูฏานนับถือ ศาสนาพุทธนิกายมหายาน (ตันตรยาน หรือบ้างก็เรียกว่า วัชรยาน) 75% ศาสนาฮินดู 24%ศาสนาอิสลาม 0.7% และ ศาสนาคริสต์ 0.3% มีจำนวนพระสงฆ์ราว 6,000 องค์ ซึ่งรัฐถวายความอุปการะจัดหาสิ่งของจำเป็นพื้นฐานหรือปัจจัย4แต่ท่านก็สามารถที่จะหารายได้พิเศษจากการทำพิธีทางศาสนาทั้งภายในวัดหรือไปตามกิจนิมนต์ที่บ้านท่านมีความเคร่งครัดไม่สูบบุหรี่
และไม่ดื่มสุราหากทว่าฉันมื้อเย็นได้ ซึ่งต่างจากพระในประเทศไทยนอกจากนี้ยังมีสงฆ์อีกราว 3,000 องค์ ที่ไม่ได้อยู่ในบัญชีของรัฐ แต่มีเอกชนเป็นอุปัฏฐาก

วัฒนธรรม
การแต่งกายประจำชาติ พระมหากษัตริย์จะผ้าผืนใหญ่พันองค์ซึ่งผ้าพันกายนี้เป็นธรรมเนียมของบุรุษภูฏาน เพื่อแสดงถึงตำแหน่งฐานะ เช่นว่า ผ้าสีขาวมีขอบจะเป็นของสามัญชน ผู้พิพากษาจะพันด้วยผ้าสีเขียว สำหรับองค์พระมหากษัตริย์ทรงใช้สีส้มเหลือง เช่นเดียวกันกับพระสังฆราชาแห่งรัฐ ภาษาประจำชาติคือภาษาฌงฆะซึ่งแต่เดิมเป็นภาษาท้องถิ่นแถบตะวันตกของภูฏานต่อมาได้กลายเป็นภาษาประจำชาติ เครื่องแต่งกายประจำชาติ ผู้ชายเรียกว่า โค (Kho) ส่วนของผู้หญิงเรียกว่า คีรา
ไหน ๆข้างต้นเอ่ยถึงชุดภูฏาน ก็ขอพื้นที่ขยายในรายละเอียดคือ โคเป็นชุดคล้ายๆกิโมโนของญี่ปุ่น
เวลาสวมใส่ต้องให้ด้านซ้ายทับขวาเอาเข็มขัดคาดเอว ดึงเสื้อออกมาปิดเข็มขัดแลดูเหมือน 2 ท่อน
ทั้งๆที่เป็นเสื้อตัวเดียวกัน ถ้าคนตัวเตี้ยโค จะยาวปิดหัวเข่า แต่ถ้าคนตัวสูง โค จะอยู่เหนือเข่า
ตรงชายเสื้อที่พับตลบขึ้นนั้นมาจากชุดชั้นในสีขาว หากเป็นหน้าร้อนนิยมใช้ปลอกแขนสวมหลอกเอาไว้
เมื่อลมหนาวมาเยือน นอกเหนือจากชุดชั้นในสีขาวแล้ว ยังสามารถสวมเสื้อขนสัตว์และกางเกงเพิ่มเข้าไปตามความต้องการได้นอกจากนี้ใครมีธุระต้องไปติดต่อสถานที่ราชการหรือเข้าวัดเข้าซองก็ต้อง
เอา แกบเน kabney มาพาดไหล่ซ้ายพันร่างเฉียงไปทางขวา ซึ่งมีสีแตกต่างกันออกไป อันเปนการบ่งบอก
ฐานะทางสังคม คีระ เป็นผ้าทอพื้นเมือง ขนาด 2.5*1.5 เมตร นำมายึดติดกันด้วยเข็มกลัดเงิน ที่มี
ลวดลาย 2ตัว ตรงบริเวณหัวไหล่คาดเช็มขัดเส้นโต้ ความยาวของคีราเกือบลากดิน เสื้อตัวในมักจะใช้สีเดียวกันกับดอกดวงที่บนปรากฎบนคีราจากนั้นสวมเสื้อคลุมเปิดอกอีกตัว

การเมือง
มีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ภายใต้การปกครองโดย สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ 5 ของราชวงศ์วังชุก ทรงปกครองประเทศโดยมีคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา และสภาแห่งชาติที่เรียกว่า ซงดู (Tsongdu) ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย ประกอบด้วยสมาชิก 161 คน
- สมาชิก 106 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน
- สมาชิก 55 คน มาจากการแต่งตั้งของพระมหากษัตริย์
ในสมัยศตวรรษที่ 17 นักบวช ซับดุง นาวัง นำเยล (Zhabdrung Ngawang Namgyal) ได้รวบรวมภูฏานให้เป็นปึกแผ่นและก่อตั้งเป็นประเทศขึ้น และในปี 2194 นักบวชซับดุงได้ริเริ่มการบริหารประเทศแบบสองระบบ คือ แยกเป็นฝ่ายฆราวาสและฝ่ายสงฆ์ ภูฏานใช้ระบบการปกครองดังกล่าวมาเป็นเวลากว่าสองศตวรรษ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2450 พระคณะที่ปรึกษาแห่งรัฐ ผู้ปกครองจากมณฑลต่าง ๆ ตลอดจนตัวแทนประชาชนได้มารวมตัวกันที่เมืองพูนาคา และทำการเลือกอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ อูเก็น วังชุก (Ugyen Wangchuck) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปกครองเมืองตองซา (Trongsa) ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์แรกของภูฏาน โดยดำรงตำแหน่งเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์แรกแห่งราชวงศ์วังชุก (Wangchuck) เนื่องจากคุณสมบัติที่โดดเด่นของพระองค์ตั้งแต่ครั้งยังทรงดำรงตำแหน่งเป็น ผู้ปกครองเมืองตองซา ทรงมีลักษณะความเป็นผู้นำและเป็นผู้นำที่เคร่งศาสนาและมีความตั้งพระทัยแน่ว แน่ที่จะยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น ราชวงศ์วังชุกปกครองประเทศภูฏานมาจนถึงปัจจุบันสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ ปัจจุบันคือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก (Jigme Khesar Namgyal Wangchuck) ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2549 เป็นสมเด็จพระราชาธิบดีองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์วังชุก
ภูฏานจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นครั้งแรกในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2551 มีพรรคการเมืองสองพรรค
ประเทศภูฏานแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 4 เขตบริหาร (administrative zones - dzongdey) แต่ละเขตบริหารแบ่งย่อยลงไปอีกเป็น มณฑล (districts - dzongkhag) รวมทั้งหมด 20 มณฑล ได้แก่
- มณฑลชูคา
- มณฑลดากานา
- มณฑลกาซา
- มณฑลฮา
- มณฑลลฮุนต์ชิ
- มณฑลมองการ์
- มณฑลพาโร
- มณฑลเปมากัตเซล
- มณฑลพูนาคา
- มณฑลซัมดรุปจงคาร์
12.มณฑลซัมชิ
13.มณฑลซาร์ปัง
14.มณฑลทิมพู
15.มณฑลตาชิกัง
16.เขตตาชิยังต์ซี
17.มณฑลตงซา
18.มณฑลชิรัง 19.มณฑลวังดีโพดรัง
20.มณฑลเชมกัง
สัญลักษณ์ประจำชาติ
สัตว์ประจำชาติ : ทาคิน เป็นสัตว์ที่หายาก เพราะมีอยู่ในดินแดนภูฏานเพียงแห่งเดียว และอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์ มีลักษณะคล้ายวัวผสมแพะตัวใหญ่ มีเขา ขนตามตัวมีสีดำ มักจะอาศัยอยู่กันเป็นฝูงในป่าโปร่ง บนความสูงกว่า 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไป ชอบกินไม้ไผ่เป็นอาหาร
ต้นไม้ : ต้นสนไซปรัสนิยมปลูกตามวัด
ดอกไม้ประจำชาติ : ดอกป๊อปปี้สีฟ้า เป็นดอกไม้ป่าที่พบตามเขตภูเขาในภูฏาน
อาหารประจำชาติ : อาหารพื้นบ้านเป็นอาหารเรียบง่าย อาหารหลักเป็นทั้งข้าว บะหมี่ ข้าวโพด ยังนิยมเคี้ยวหมากอยู่ อาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยพริก ผักและมันหมู อาหารประจำชาติคือ Ema datshi ซึ่งประกอบด้วยพริกสดกับซอสเนยต้มกับหัวไชเท้า มันหมูและหนังหมู ชาวภูฏานนิยมอาหารรสจัด เครื่องดื่มมักเป็นชาใส่นมหรือน้ำตาล ในฤดูหนาวนิยมดื่มเหล้าหมักที่ผสมข้าวและไข่ ไม่นิยมสูบบุหรี่ นอกจากนั้นมีอาหารจากทิเบต เข่นซาลาเปาไส้เนื้อ ชาใส่เนยและเกลือ และอาหารแบบเนปาลในภาคใต้ที่กินข้าวเป็นหลัก

ธงชาติภูฏาน
สีเหลือง ครึ่งบนของธงชาติ หมายถึง อำนาจของพระมหากษัตริย์ เป็นสีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมสีส้ม ครึ่งล่างของธงชาติ หมายถึง การปฏิบัติธรรมและความเลื่อมใสและศรัทธาของชาวภูฏานที่มีต่อศาสนาพุทธมังกรที่อยู่ตรงกลางของธงชาติ หมายถึง ประเทศดรุกยุล มีความหมายว่าดินแดนแห่งมังกรสายฟ้า ตัวมังกรมีสีขาวบริสุทธิ์ อันเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของคนทุกเชื้อชาติ ทุกภาษาที่อยู่ในประเทศ ท่าทีที่มังกรกำลังอ้าปากคำรามนั้น แสดงออกถึงความมีอำนาจน่าเกรงขามของเหล่าพระผู้เป็นเจ้าทั้งชายและหญิงที่ ปกป้องภูฏาน
เศรษฐกิจ
งุลตรัม
สกุลเงินของภูฏานคืองุลตรัมซึ่งผูกค่าเงินเป็นอัตราคงที่กับรูปีอินเดีย และเงินรูปียังสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายอีกด้วย
แม้ว่าภูฏานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กที่สุดในโลกแต่ก็มีอัตราการเติบโตที่สูงมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ร้อยละ 8 ในปี 2005 และร้อยละ 14 ในปี 2006) ในปี 2007 ภูฏานเป็นประเทศที่มีอัตราเติบโตสูงเป็นอันดับสองของโลกโดยมีอัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจสูงถึงร้อยละ 22.4 ซึ่งเป็นผลจากการเริ่มใช้เขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าทาลา
รายได้หลักของประเทศ มากกว่าร้อยละ 33 ของจีดีพี มาจากการเกษตร และประชากรกว่าร้อยละ 70 มีวิถีชีวิตขึ้นอยู่กับผลิตผลทางการเกษตรด้วย สินค้าส่งออกสำคัญคือไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ ซึ่งส่งออกไปยังอินเดีย
ประชากร
จำนวนประชากร 752,700 คน (เมื่อปี พ.ศ. 2547) เป็นชาย 380,090 คน และหญิง 372,610 คน
อัตราการเพิ่มของประชากรร้อยละ 2.14 (เมื่อปี พ.ศ. 2546)
เชื้อชาติ ประกอบด้วย 3 เชื้อชาติ ได้แก่
ชาร์คอป (Sharchops) ชนพื้นเมืองดั้งเดิม ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออก
งาลอบ (Ngalops) ชนเชื้อสายธิเบต ส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันตก
โลซาม (Lhotshams) ชนเชื้อสายเนปาล ส่วนใหญ่อยู่ทางใต้
กลุ่มประชากรของภูฏาน แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ คือกลุ่มดรุกปา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มเชื้อสายธิเบต กลุ่มซังลา ที่ถือว่ามีจำนวนมากที่สุด เนื่องจากจะแยกออกตามภาษาท้องถิ่นที่ใช้ที่มีประมาณ 11 ภาษา กลุ่มนี้จะอาศัยทางทิศตะวันออกของประเทศ
กลุ่ม เนปาล คือส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศแต่ปัจจุบันนี้ทางรัฐบาลของประเทศภูฏาน ได้พยายามผลักดันให้ประชากรเหล่านี้กลับไปยังถิ่นฐานเดิมคือประเทศเนปาล
กลุ่มชนอื่น ๆ อีก 13% คือชาวธิเบต ชาวสิกขิม และชาวอินเดีย
ทรัพยากรธรรมชาติ
ในภูฏานมีพื้นที่ป่าถึง 60% มีอุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 4 แห่ง และเขตสงวนธรรมชาติ 1 แห่ง คิดเป็น 35% ของพื้นที่ประเทศ ในพื้นที่ดังกล่าวมีสัตว์และพืชหายากมากกว่า 7,000 ชนิด มีกล้วยไม้เฉพาะถิ่น 300 เขต และพันธุ์ไม้หายากอีกราว 500 ชนิด และมีสมุนไพรหายากราว 150 ชนิด
เมื่อเอ่ยถึงชื่อภูฏาน นักท่องเที่ยวประเภทแบกเป้เข้าป่าคงบ่นอุบว่าอยากไปแต่แพง นักท่องเที่ยวประเภทไปมิลานหรือนิวยอร์คปีละครั้งคงส่ายหน้าไม่รู้จักเลย
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะประเทศเล็กๆเพื่อนบ้านของทิเบตแห่งนี้เพิงเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว
ครั้งแรกเมื่อปีพศ.2517 ปัจจุบันเก็บภาษีท่องเที่ยวแพงระยับถึง200ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อวัน
และไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินทางในประเทศโดยไม่มีไกด์ท้องถิ่นประกบติด ด้วยเกรงว่า
การไหลบ่าของนักท่องเที่ยวจะทำลายสภาพแวดล้อมของประเทศ
ตามเกณฑ์ที่ใช้วัดระดับ ความเจริญ ภูฏาน เป็นหนึ่งใน40 ประเทศยากจนที่สุดในโลก ทั้งประเทศมีทางหลวงเพียงหนึ่งเส้น ที่วิ่งอย่างฉวัดเฉวียน คดเคี้ยวเลียบเขาจากตะวันตกไปตะวันออก มีถนนเส้นตรงแต่ในเมืองใหญ่สามเมือง
มนต์สเนห์ลึกลับของภูฏานที่แฝงอยู่ในรอยยิ้มและเสียงหัวเราของผู้คน เสียงกรากแกรกของกงล้อ
ภาวนาพลังน้ำที่หมุนอย่างอ้อยอิ่งและสายลมที่พัดผ่านธงภาวนาหลากสีที่ปักเป็นร้อยๆอยู่บน
เนินเขาทุกลูกสะกดจิตวิญญารของผู้มาเยือนทุกคนในหลากหลายรูปแบบ
ภูฏานไม่ซ่อนอะไรจากสายตาของผู้มาเยือน ภูฏานที่แท้จริงเป็นอย่างไรนักท่องเที่ยวก็เห็น
แบบนั้นในแง่นี้ ภูฏานอาจเป็นประเทศที่กลมกลืนที่สุดในโลก แต่ก็เป็นความกลมกลืนที่ลึกๆ
แล้วแต็มไปด้วยความย้อนแย้ง ภูฏานจัดเป็นอันดับท้ายๆของโลกคือ 189 จาก 222 ประเทศทั่วโลก แต่ไม่มีคนจรจัด หรือขอทานในภูฏาน คนภูฏานมีรายได้ต่อหัวเพียง 4300บาทต่อเดือนเท่านั้น ประชากรส่วนใหญ่เป็นเกษตกรผู้ยากไร้
แต่บ้านภูฏานล้วนมีขนาดใหญ่โต อย่างน้อยสองหรือสามชั้น ไม่เคยเห็นกระต้อบเล็กเพิงเล็กๆ
ไม่ว่าหมู่บ้านนั้นจะแร้นแค้นเพียงใด พระพุทธเจ้า เทวดา และนักแสวงบุญในศาสนาพุทธนิกายวัชรยานที่มีต้นตอมาจากธิเบต ผสมผสานความเชื่อท้องถิ่น
ส่วนใหญ่มีปางดุร้ายหน้าตาเหี้ยมเกรียม น่ากลัวมากกว่าน่าเลื่อมใส
แต่คนภูฏานที่เห็นส่วนใหญ่มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่เคยเจอเด็กภูฎานคนไหน
ที่โบกมือให้แล้วไม่ตอบรับพร้อมแถมรอยยิ้มให้เราถ่ายรูปมือเป็นระวิงทุกครั้ง
ความย้อนแย้งเหล่านี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้อย่างไรคำตอบของภูฏานอาจเป็นคำตอบของโลก



ความคิดของคุน pamrapree เกี่ยวกับภูฏาน